การทรงตัวและการเคลื่อนไหวในกีฬาบาสเกตบอล
การทรงตัวและการเคลื่อนไหวในกีฬาบาสเกตบอล เป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง เพราะกีฬาบาสเกตบอลเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยการทรงตัวและการเคลื่อนไหวที่ดี ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะยืน เดิน วิ่ง กระโดด หยุด หลอกล่อ หมุนตัว ตลอดทั้งขณะครอบครองลูกบอลอยู่ ถ้าผู้เล่นมีการทรงตัวและการเคลื่อนไหวที่ดีแล้ว ก็สามารถที่จะส่งบอล เลี้ยงบอล หรือยิงประตูได้ทันที และแม่นยำ ทั้งนี้ผู้เล่นจะต้องได้รับการฝึกอย่างถูกต้องจนเกิดความชำนาญ และกระทำได้ดีจนเป็นนิสัย แต่เรื่องนี้มักจะสร้างความลำบากใจให้แก่ครูผู้สอนและผู้ฝึกมาก เพราะนักเรียนหรือผู้เล่นใหม่มักจะไม่เห็นความสำคัญ ขาดความสนใจในการฝึก จึงเป็นเหตุให้การเล่นในขั้นต่อไปไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนหรือผู้ฝึกจะต้องหาวิธีการให้ผู้เรียนหรือผู้เล่นใหม่ได้เข้าใจถึงความสำคัญและคุณค่า โดยอธิบาย สาธิต การฉายภาพยนตร์ การฉายภาพนิ่ง อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ การพานักเรียนหรือผู้เล่นใหม่ไปดูทีมที่มีการเล่นดีเด่นก็เป็นวิธีหนึ่งที่ได้ผลดี แต่ทั้งนี้ครูผู้สอน หรือผู้ฝึกจะต้องกำหนดจุดสำคัญที่ให้นักเรียนดู โดยเฉพาะเรื่องการทรงตัวและการเคลื่อนไหวของทีมนั้นเป็นอย่างไร จึงทำให้เล่นดีเหนือคู่ต่อสู้
การปฏิบัติเพื่อให้ร่างกายอยู่ในลักษะการทรงตัวที่ดี นับเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเล่นกีฬาประเภทนี้ เพราะต้องมีการเคลื่อนไหวด้วยเท้าทั้งสองเกือบตลอดเวลา ทั้งขณะที่เป็นฝ่ายรุกและฝ่ายป้องกัน กล่าวคือ ต้องวิ่ง หยุด กระโดด หมุนตัว และหลบหลีกผู้เล่นอื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะต้องกระทำอย่างรวดเร็ว ว่องไว และถูกต้องตามหลักทักษะพื้นฐาน ถ้าหากว่าการทรงตัวไม่ดีแล้ว ย่อมเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเคลื่อนไหวในขั้นต่อไปด้วย
หลักสำคัญเกี่ยวกับการทรงตัว มีดังนี้
- ยืนแยกเท้าห่างกันประมาณเท่าช่วงไหล่เป็นลักษณะที่ดีที่สุด เพราะถ้ายืนชิดเท้าเข้ามาการทรงตัวจะไม่ดี แต่การออกตัวในการเคลื่อนไหวดี ถ้าเท้าห่างออกไปการทรงตัวดี แต่การออกตัวไม่ดี
- ให้น้ำหนักเฉลี่ยลงที่เท้าทั้งสอง ค่อนไปทางปลายเท้าเล็กน้อย
- โน้มตัวไปข้างหน้า เข่างอ
- หน้ามองตรง
- แขนกางออกเล็กน้อย ไม่เกร็ง
การทรงตัวนี้ อาจจะยืนในลักษณะเท้านำเท้าตามก็ได้ (stride stance) โดยให้น้ำหนักตัวเฉลี่ยลงที่เท้าทั้งสองค่อนไปทางปลายเท้าเช่นเดียวกัน (อย่ายืนเต็มเท้า) งอเข่าลงลักษณะกึ่งหมอบให้ไหล่โล้ไปข้างหน้าเล็กน้อย หน้าเงยขึ้น (head up) และแขนปล่อยตามสบาย ในขณะเคลื่อนไหวไปด้านข้าง ซ้าย ขวา หน้า หลัง ข้อที่ควรระมัดระวัง คือ อย่าก้าวเท้ายาวเกินไป หรือให้เท้าไขว้กัน เพราะจะทำให้ลำบากต่อการเคลื่อนไหวในลักษณะอื่นต่อไป และขณะที่เป็นฝ่ายป้องกันควรมีการเคลื่อนไหวของแขน เพื่อพร้อมที่จะแย่งและตัดลูกบอล หรือปัดลูกบอลจากการยิงประตูของฝ่ายรุกด้วย
การเคลื่อนไหวในสถานการณ์การเล่นจริง
- การเปลี่ยนทิศทาง (Change of Direction)
การเปลี่ยนทิศทางเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของผู้เล่นฝ่ายรุกใช้หลบหลีกฝ่ายป้องกัน เพื่อเข้าครอบครองลูกบอล หรือเข้าทำประตู การเปลี่ยนทิศทางมีหลักการปฏิบัติดังนี้
จังหวะที่ 1 สมมติว่าผู้เล่นวิ่งมา และต้องการจะเปลี่ยนทิศทางไปทางขวา ให้ก้าวเท้าซ้ายยาวกว่าปกติเล็กน้อย ให้น้ำหนักตัวไปตกที่เท้าซ้าย งอเข่าลง เพื่อให้จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายใกล้พื้นมากกว่าที่ขณะวิ่งมาตามปกติ ซึ่งจะช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น
จังหวะที่ 2 ให้บิดไหล่ ศีรษะ และตะโพกขวาไปทางขวา พร้อมกับก้าวเท้าขวาไปวางข้างหลังเฉียงไปทางขวา แล้วเข้าสู่ท่าวิ่งตามปกติ วิธีนี้อาจเรียกว่า เปลี่ยนทิศทางโดยการเอี้ยวตัวหลบ (swerver)
ถ้าผู้เล่นจะเปลี่ยนทิศทางไปทางซ้ายก็ให้ปฏิบัติในทำนองเดียวกัน การเปลี่ยนทิศทางนี้อาจกระทำได้ทุกทิศทาง สุดแต่ผู้เล่นต้องการ ข้อสำคัญ คือ ต้องรู้จักการถ่ายน้ำหนักตัวจากเท้าหน้าไปสู่อีกเท้าหนึ่ง และต้องมีความแข็งแรงของข้อเท้าเป็นสำคัญ มิฉะนั้นอาจทำให้เท้าแพลงได้ (ดังรูปที่ 4 – 3)
การเปลี่ยนทิศทางซึ่งปฏิบัติโดยลำพังตัวเองไม่สู้จะยากนัก แต่เมื่อมีฝ่ายตรงข้ามป้องกันอยู่ค้อนข้างจะยากเล็กน้อย จำเป็นจะต้องมีการหลอกล่อเสียก่อน คือ ทำท่าจะวิ่งไปทิศทางหนึ่งแต่ละออกวิ่งไปทิศทางหนึ่ง จึงต้องมีการฝึกหัดเพื่อให้เกิดความชำนาญและความสามารถปฏิบัติได้โดยอัตโนมัติ
- การเปลี่ยนช่วงก้าว (Change of Pace)
การเปลี่ยนช่วงก้าว สามารถหลบหลีกฝ่ายป้องกันที่ใช้แผนการเล่นแบบคนต่อคนได้ผลเหมือนกัน การปฏิบัติประกอบด้วยการก้าวเท้าให้ยาวขึ้น หรือให้สั้นลง ซึ่งจะทำให้ความเร็วเปลี่ยนไป การเร่งความเร็วขึ้นหลังจากที่ได้ผ่อนให้ช้าลง จะทำให้สามารถหลบหลีกคู่ต่อสู้ได้บ่อย ๆ เพราะคู่ต่อสู้มักจะเสียการทรงตัว แต่ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าการเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นหรือลดให้ช้าลง จะต้องกระทำให้กลมกลืมกันไป โดยคู่ต่อสู้ไม่รู้ความตั้งของเรา ประกอบกับเวลาที่เหมาะเจาะที่จะเร่ง หรือลดความเร็วในขณะที่เราคาดว่าคู่ต่อสู้ไม่ทันรู้ตัว
- การวิ่งตัด (Cutting)
การวิ่งตัดเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่จะทำให้ฝ่ายรุกสามารถหลบหลีกฝ่ายป้องกัน ซึ่งเป็นเทคนิคที่ต้องผสมผสานกันกับการเปลี่ยนทิศทาง และการเปลี่ยนช่วงก้าว วัตถุประสงค์ของการวิ่งตัด คือ เพื่อให้ฝ่ายรุกอยู่หน้าฝ่ายป้องกัน เพื่อรับลูกบอลจากการส่งของฝ่ายเดียวกันได้ การวิ่งตัดที่นิยมใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มี 4 แบบ คือ
3.1 การวิ่งตัดตรง (Straight Cut)
การวิ่งตัดด้วยวิธีนี้จะกระทำได้ก็ต้องพิจารณาถึงความเร็วของผู้เล่นของฝ่ายป้องกันที่กำลังคุมอยู่ กล่าวคือ ถ้าผู้เล่นฝ่ายป้องกันมีการเคลื่อนไหวช้า ไม่คล่องตัว ฝ่ายรุกก็สามารถที่จะวิ่งตัดเข้าไปรับลูกบอลได้ดี
วิธีปฏิบัติ ขณะที่ผู้เล่นวิ่งมุ่งไปทางหนึ่งในทันที ให้เปลี่ยนทิศทางไปอีกทางหนึ่งประกอบกับการเปลี่ยนช่วงก้าวให้เร็วขึ้น
3.2 การวิ่งตัดโดยการหมุนตัวกลับ (Reverse Cut)
การวิ่งตัดด้วยการหมุนตัวกลับใช้กับฝ่ายป้องกันที่คุมฝ่ายรุกตลอดเวลาตัวต่อตัว และฝ่ายป้องกันอยู่หน้าฝ่ายรุกซึ่งตรงกับทิศทางที่ผู้เล่นฝ่ายเดียวกันจะส่งลูกบอลมาให้ ในลักษณะเช่นนี้ ถ้าผู้เล่นฝ่ายเดียวกันส่งลูกบอลมาให้ ก็มีโอกาสที่จะถูกตัดบอลจากฝ่ายป้องกันได้มาก หรือทำให้ผู้เล่นฝ่ายเดียวกันส่งลูกบอลลำบาก และขาดความแน่นอน
วิธีปฏิบัติ สมมติว่าฝ่ายรุกต้องการกลับไปรับลูกบอลทางขวา ให้ก้าวเท้าซ้ายออกไปด้านข้างพร้อมกับใช้ไหล่และศีรษะโยกหลอก ให้น้ำหนักตัวอยู่ที่เท้าซ้าย ในทันทีให้ถ่ายน้ำหนักไปที่เท้าขวา บิดตะโพกหมุนตัวกลับไปทางขวาพร้อมก้าวเท้าซ้ายวิ่งไปข้างหน้า (ดังรูปที่ 4 – 5)
3.3 การวิ่งตัดแบบกรรไกร
การวิ่งตัดแบบนี้ โดยปกติจะร่วมเล่นกับผู้เล่นในตำแหน่งศูนย์หน้า
วิธีปฏิบัติ เมื่อผู้เล่นฝ่ายเดียวกันส่งลูกไปให้ผู้เล่นในตำแหน่งศูนย์หน้า ซึ่งอาจจะยืน ณ เส้นโยนโทษ หรือนอกเส้นข้างของเขตกำหนด 3 วินาที ให้ผู้เล่นคนแรกวิ่งตัดผ่านตะโพกของผู้เล่นศูนย์หน้าข้างใดข้างหนึ่ง และในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นให้ผู้เล่นคนที่สองวิ่งตัดผ่านตะโพกของผู้เล่นศูนย์หน้าด้านตรงข้ามกับผู้เล่นคนแรก ซึ่งในลักษณะการวิ่งตัดแบบนี้ ผู้เล่นศูนย์หน้าสามารถเลือกส่งลูกบอลให้กับผู้เล่นคนแรกหรือคนที่สองก็ได้สุดแต่สถานการณ์จะเหมาะสม
3.4 การวิ่งตัดหลังจากการบัง (Pick and Roll Cut)
วิธีปฏิบัติ ให้ผู้ที่จะวิ่งตัดไปบัง (screen) ผู้เล่นฝ่ายป้องกันของคู่ใดคู่หนึ่ง หรืออาจเป็นคู่ของผู้ที่กำลังเลี้ยงลูกบอลอยู่ก็ได้ เพื่อบังไม่ให้ฝ่ายป้องกันของคู่นั้นสามารถติดตามคู่ที่เขาป้องกันอยู่ก่อนได้ ในชั้นตอนนี้เราเรียกว่า “การบัง” ขั้นต่อไปคือ เมื่อคู่ต่อสู้ถูกบังแล้วก็อาจจะพยายามติดตามคู่เดิมของตัว หรือถลำตัวออกไป หรืออาจจะอยู่นิ่งก็ตาม ให้ผู้เล่นที่เข้าไปบังครั้งแรกนั้นหมุนตัวกลับ แล้ววิ่งตัดเข้ารับลูกบอลข้างในต่อไป
- การหยุด (Stopping)
ข้อผิดพลาดมักจะเกิดขึ้นเสมอในการเล่นบาสเกตบอล และเป็นเหตุของการผิดระเบียบ ก็คือ การวิ่งมาแล้วหยุดทันทีเพื่อรับลูกบอล หรือขึ้นยิงประตู ผู้เล่นฝึกใหม่มักจะประสบปัญญา คือการก้าวเท้าเกินกว่ากติกากำหนด การรู้วิธีการที่ถูกตจ้องและฝึกซ้อมอยู่เสมอจะช่วยได้มาก การหยุดโดยปกติแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี คือ
4.1 หยุดโดยใช้เท้าใดเท้าหนึ่งอยู่หน้า (Stride Stop) วิธีปฏิบัติ คือ
จังหวะที่ 1 ขณะที่วิ่งมาให้เอนตัวไปข้างหลัง พร้อมกับใช้เท้าใดเท้าหนึ่งยันสกัดไว้ข้างหน้า ย่อตัวลงกดตะโพกให้ต่ำระหว่างเท้าทั้งสอง
จังหวะที่ 2 ก้าวเท้าที่มิใช่เท้ายันสกัดไปข้างหน้า ซึ่งการหยุดจะสมบูรณ์ในจังหวะนี้
หมายเหตุ ถ้าผู้ที่ครอบครองลูกบอลอยู่ หลังจากหยุดแล้วต้องการหมุนตัวต้องใช้เท้าหลังเป็นเท้าหมุน และถ้าเป็นการหยุดขณะเลี้ยงลูกบอล เท้าที่ยันสกัดข้างหน้าจะเป็นเท้าที่อยู่ตรงข้ามกับมือที่ใช้เลี้ยงลูกบอล
4.2 การกระโดดหยุด (Jump Stop)
การหยุดแบบนี้ใช้ได้ผลเมื่อผู้เล่นวิ่งมาด้วยความเร็วต่ำ และต้องการหยุดเพื่อจะใช้เท้าซ้ายหรือขวาเป็นแกนหมุนตามสถานการณ์ที่เหมาะสม หรือต้องหยุดเนื่องจากกระโดดแย่งลูกบอลหรือกระโดดรับลูกบอล วิธีปฏิบัติคือ
จังหวะที่ 1 เอนตัวไปข้างหลังและใช้เท้าใดเท้าหนึ่งกระโดด เพื่อหาจังหวะหยุด
จังหวะที่ 2 ลงสู่พื้นด้วยเท้าทั้งสอง ให้ปลายเท้าอยู่ประมาณระดับเดียวกัน ย่อเข่าลงน้ำหนักตัวอยู่ที่เท้าทั้งสอง ศีรษะตั้งตรง ตามองไปข้างหน้า แขนกางออกเล็กน้อย เพื่อช่วยในการทรงตัว (ถ้าไม่ได้ครอบครองลูกบอลอยู่) พร้อมที่จะใช้เท้าใดเท้าหนึ่งเป็นเท้าหลักในการหมุน หรือกลับตัวไปตามทิศทางที่ต้องการต่อไป
แบบฝึกหัด
- ให้ผู้เล่นทำเป็นวงกลมใหญ่ ห่างกันประมาณ 2 ช่วงแขนแล้วให้วิ่งและเปลี่ยนช่วงก้าว โดยเริ่มจากช้าก่อน แล้วเพิ่มความเร็วขึ้นจนเต็มที่
- ครูหรือผู้ฝึกให้สัญญาณด้วยคำสั่ง เพื่อให้ผู้เล่นเปลี่ยนการเคลื่อนไหว เป็นวิ่ง เดิน วิ่ง เหยาะ ตามต้องการ
- ครูหรือผู้ฝึกให้สัญญาณด้วยคำสั่ง เพื่อให้ผู้เล่นเปลี่ยนทิศทาง ซ้าย ขวา หน้า และหลัง
- ให้ผู้เล่นทั้งหมดฝึกการหยุดทั้ง 2 แบบ โดยมีครูหรือผู้ฝึกให้สัญญาณ ต่อจากนั้นอาจแบ่งผู้เล่นออกเป็นกลุ่มย่อยไปฝึก แล้วเรียกมาทดสอบทีละกลุ่มภายหลัง
- ให้ผู้เล่นแสดงการหยุดเป็นรายบุคคล ครูหรือผู้ฝึกสังเกต และวินิจฉัยว่าการหยุดถูกต้องหรือไม่ พร้อมแนะนำแก้ไข
- กำหนดให้ผู้เล่นคนใดคนหนึ่งออกมาเป็นผู้นำกลุ่ม และคอยให้สัญญาด้วยเสียงหรือมือ เพื่อให้ผู้เล่นทั้งกลุ่มปฏิบัติ
- ให้ผู้เล่นทั้งหมดนอนหงายเหยียดยาวอยู่ที่เส้นสกัดหลัง (end line) เมื่อได้ยินสัญญาณให้รีบลุกขึ้นวิ่งไปให้เร็วที่สุด จนกว่าจะได้ยินสัญญาณให้หยุด
- ให้ผู้เล่นฝึกเป็นรายบุคคล โดยเริ่มจากการวิ่งตรง เปลี่ยนทิศทางไป ซ้าย – ขวา – เดิน – กระโดด – หยุด แต่ละทักษะให้ทำติดต่อกัน
- การหมุนตัว (Pivot)
การหมุนตัว คือ การที่ผู้เล่นจับหรือถือลูกบอลอยู่ ใช้เท้าหนึ่งเพียงข้างเดียวก้าวหมุนตัวครั้งหนึ่งหรือหลายครั้ง ไปตามทิศทางต่าง ๆ โดยให้เท้าหนึ่งเรียกว่าแกนเป็นหลักอยู่กับที่บนพื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ฝั่งตรงข้ามมาแย่งบอลจากมือ
การหมุนตัวอาจแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ การหมุนตัวกลับหลัง (rear pivot) การหมุนตัวไปข้างหน้า (front pivot) และการหมุนตัวโดยการก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วหมุนตัวกลับหลัง (reverse pivot) ซึ่งจะได้กล่าวโดยละเอียด ดังนี้
5.1 การหมุนตัวกลับหลัง (Rear Pivot)
การหมุนตัวกลับหลัง ใช้ในกรณีที่ฝ่ายป้องกันเข้ามาแย่งลูกบอลด้านหน้า และไม่อาจจะส่งลูกบอลไปได้ จะใช้ได้หลังจากที่ผู้ครอบครองลูกบอลหยุดแบบใช้เท้าหนึ่งอยู่หน้า หรือขณะหยุดหลังจากเลี้ยงลูกบอล
วิธีปฏิบัติ ให้ใช้เท้าหลัง (เท้าที่ใช้หยุดในจังหวะแรก) เป็นแกนหมุน โดยการงอเข่าทั้งสองลง พร้อมกับถ่ายน้ำหนักตัวไปที่เท้าที่ใช้เป็นแกนหมุน แล้วหมุนตัวโดยใช้ศีรษะและไหล่นำไปก่อน บิดตะโพกกลับหลังหันไปทางมุมเปิด (open side) คือมุมที่ไม่มีฝ่ายป้องกัน ซึ่งผู้เล่นสามารถส่งหรือเลี้ยงลูกบอล หรือเข้ายิงประตูในโอกาสต่อไปได้
5.2 การหมุนตัวไปข้างหน้า (Front Pivot)
การหมุนตัวแบบนี้ใช้ป้องกันฝ่ายตรงข้ามที่จะเข้ามาแย่งลูกบอลด้านข้าง
วิธีปฏิบัติ คือ ให้ใช้เท้าใดเท้าหนึ่งเป็นแกนหมุน โดยยึดหลักดังนี้ ถ้าฝ่ายป้องกันเข้ามาแย่งลูกบอลทางด้านซ้ายมือให้ใช้เท้าขวาเป็นแกนหมุน การหมุนให้หมุนไปตามเข็มนาฬิกา แต่ถ้าฝ่ายป้องกันเข้ามาแย่งลูกบอลทางด้านขวามือ ก็ให้ใช้เท้าซ้ายเป็นแกนหมุน และหมุนทวนเข็มนาฬิกา ซึ่งทั้งสองกรณีให้หันหน้าและไหล่นำไปก่อน แล้วจึงจะเคลื่อนเท้านอกอ้อมตามไป การหมุนตัวแบบนี้ข้อผิดพลาดที่มักพบบ่อยสำหรับผู้เล่นใหม่ คือ การหมุนตัวถอยหลัง ซึ่งเป็นวิธีไม่ถูกต้อง เพราะจะทำให้เสียการทรงตัวได้
5.3 การหมุนตัวโดยการก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วหมุนตัวกลับ (Reverse Pivot)
การหมุนตัวแบบนี้แยกออกได้เป็น 2 กรณี คือ
ก. กรณีผู้เล่นไม่ได้ครอบครองลูกบอลอยู่ ใช้เพื่อรับลูกบอล
ข. กรณีผู้เล่นกำลังครอบครองลูกบอลอยู่ ใช้เพื่อให้พ้นรัศมีการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามที่ใช้แผนการป้องกันแบบคนต่อคน ซึ่งจะทำให้การเล่นในขั้นต่อไปถนัดยิ่งขึ้น วิธีปฏิบัติทั้ง 2 กรณีมีดังนี้
จังหวะที่ 1 ให้ใช้เท้าด้านตรงข้ามกับทิศทางที่จะไปจริงก้าวไปทางด้านหน้า พร้อมกับใช้ศีรษะและไหล่โยกหลอก แต่อย่าให้เท้าหลังซึ่งเป็นเท้าหลักในการหมุนพ้นพื้น หรือลื่นไถล
จังหวะที่ 2 ให้ถ่ายน้ำหนักตัวไปที่เท้าหมุน แล้วหมุนกลับหลังหันให้ฝ่ายป้องกัน โดยใช้เท้าที่ก้าวไปข้างหน้าวาดกลับด้านหลังไปวางข้างเท้าหมุน ให้ศีรษะและไหล่ไปก่อน
จังหวะที่ 3 ถ่ายน้ำหนักตัวไปที่เท้าที่ใช้วางกลับหลัง พร้อมกับก้าวเท้าที่เคยใช้เป็นเท้าหลักในการหมุนไปข้างหน้า แล้วเข้าสู่การเคลื่อนไหวตามต้องการต่อไป
การหมุนตัวโดยการก้าวเท้าไปข้างหน้าและหมุนตัวกลับ จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อ
- ฝ่ายป้องกันเข้าป้องกันประชิดตัวด้านหน้า และไม่สามารถวิ่งไปรับลูกบอลได้
- ฝ่ายป้องกันเคลื่อนไหวช้า ติดตามฝ่ายรุกไม่ทัน
- ฝ่ายป้องกันใช้วิธีการเปลี่ยนคู่ป้องกัน เมื่อฝ่ายรุกใช้แผนการเล่นบัง ซึ่งจะทำให้ฝ่ายป้องกันเกิดการสับสน และไม่คิดว่าฝ่ายรุกจะใช้วิธีการหมุนแบบนี้
- ต้องผสมผสานกับการหลอกล่อ การเปลี่ยนทิศทาง การเปลี่ยนช่วงก้าว การวิ่งและหยุด
Comments
Post a Comment